วันที่ 11 มีนาคม 2565 เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซนเตอร์ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมมอบแนวทางและบรรยายพิเศษในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อซักซ้อมแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด พัฒนาการจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด และนายอำเภอ จาก 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมการประชุมฯ และถ่ายทอดสดการประชุมผ่านระบบ DOPA Channel ไปยังทุกจังหวัด/อำเภอทั่วประเทศ ปลัดอำเภอ พัฒนาการอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อสม. ร่วมรับฟังการประชุมฯ

ในส่วนของจังหวัดอุบลราชธานี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้มอบหมายให้ นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายสมเจตน์ เต็งมงคล ปลัดจังหวัด นายพิสดาร ประดาพัฒนาการจังหวัด นายสำเนียง สิมมาวัน ท้องถิ่นจังหวัด นายอำเภอทั้ง 25 อำเภอในจังหวัด เข้าร่วมการประชุมฯ รวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี และทีมพี่เลี้ยงจากเทศบาลตำบลนาส่วง อำเภอเดชอุดม ร่วมจัดนิทรรศการการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในมิติด้านสุขภาพ ก่อนนำเสนอผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้เข้าร่วมประชุมฯ นำโดย นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายพิสดาร ประดา พัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานี นางอรัญญา นามวงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลนาส่วง นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และอำเภอ ทั้ง 25 อำเภอ ร่วมรับฟังการประชุมผ่านระบบ DOPA Channel ด้วย

โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้กล่าวว่า “รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชน เพราะประเทศของเรายังมีคนที่อ่อนด้อยในสังคม ที่เราอาจเรียกว่ากลุ่มอ่อนด้อย กลุ่มเปราะบาง เป็นต้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่มิติด้านเศรษฐกิจ แต่หมายความรวมถึงความเดือดร้อนด้านต่างๆ ที่ประชาชนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีเจตนาเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นที่มาของการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) มีเป้าหมายสำคัญ คือ “การแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน” หรือ “การตัดเสื้อให้พอดีตัว” โดยมีกลไกการดำเนินงานตั้งแต่ระดับนโยบายถึงระดับปฏิบัติในพื้นที่ ได้แก่ ระดับจังหวัด ผ่านศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.) ระดับอำเภอ ผ่านศูนย์อำนวยการปฏิบัติการฯ อำเภอ (ศจพ.อ.) และระดับปฏิบัติการ ผ่านทีมปฏิบัติการฯ ในระดับพื้นที่ (ทีมตำบล) โดยมี “ทีมพี่เลี้ยง” เข้าไปรับทราบปัญหา หาทางแก้ไข จัดทำแผนร่วมกับทุกครัวเรือนยากจนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน และสนับสนุนให้ครัวเรือนมีการวางแผน/แก้ปัญหาตรงตามสภาพปัญหาที่กำลังเผชิญ เมื่อทราบปัญหาครบแล้ว จะรายงาน ศจพ.อำเภอ เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือ โดยหน้าที่ในการแก้ปัญหาเป็นของทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาตามอำนาจหน้าที่และงบประมาณของหน่วยงาน ให้เสร็จสิ้นในระดับอำเภอ ตามแนวทางการแก้ไขปัญหารวม 5 ด้าน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “5 เมนูแก้จน” ได้แก่ 1) สุขภาพ 2) ความเป็นอยู่ 3) การศึกษา 4) ด้านรายได้ และ 5) การเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยหากเป็นปัญหานอกเหนือจากแนวทางดังกล่าว ให้ส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขตามอำนาจหน้าที่

กระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการ ศจพ. โดยทุกกระทรวง/ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คือผู้เดินหน้าแก้ไขปัญหาแบบพุ่งเป้าตามอำนาจหน้าที่และงบประมาณของหน่วยงานร่วมกับภาคประชาชนและทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อให้ปัญหาความเดือดร้อนของครัวเรือนเป้าหมายได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุดและเป็นการแก้ไขด้วยเป้าเดียวกัน ทั้งนี้ “ความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งหมดอยู่ที่กลไกในพื้นที่ทั้งหมด” โดยเฉพาะแม่ทัพของพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ทีมปฏิบัติการตำบล และ “ทีมพี่เลี้ยง” ต้องวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางการแก้ไข ตามหลัก 4 ท คือ ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร และทางออก ด้วยการลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของครัวเรือนยากจนอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องในลักษณะ Intensive care โดยที่ครัวเรือนต้องมีส่วนร่วมและไม่เป็นการบังคับให้ทำ ซึ่งพัฒนากรต้องสร้างความเข้าใจให้ทีมพี่เลี้ยงไปสำรวจให้รู้ปัญหา รู้แนวทางการทำงาน และวิเคราะห์ปัญหาออกมา พร้อมทั้งติดตาม ตรวจสอบ ดูแลอย่างใกล้ชิด และบันทึกในระบบ Logbook ทุกครั้งที่ได้ให้ความช่วยเหลือ โดยนายอำเภอเป็นขุนศึกสำคัญที่ต้องบูรณาการทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และหากปัญหาที่พบนอกเหนือจากเมนู ให้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากไม่สามารถแก้ไขในระดับอำเภอได้ให้รายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บูรณาการหาช่องทางแก้ปัญหาให้ได้ และหากเป็นสภาพปัญหาที่ต้องแก้ไขในระดับนโยบายให้รายงานกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการต่อไป นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้กับประชาชน ด้วยช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้ง Online Onsite Onground ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย หลายๆ ช่อง หลายๆ เวลา ทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ เพื่อปลายทางคือพี่น้องประชาชนมีความสุข

ขณะที่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดเผยว่า “ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ที่ “คนมหาดไทย” ซึ่งมีจิตวิญญาณในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่อยากบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน ดังนโยบาย “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ทั้งคนที่ทุกข์ยาก เดือดร้อน ยากไร้ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งต้องมีทัศนคติต่อการทำหน้าที่, มีความรู้ ความสามารถ สู่ความสำเร็จ ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ต้องเป็นผู้นำปลุกเร้าจิตใจทีมจังหวัด อำเภอ ตำบล และทีมพี่เลี้ยง ให้มีจิตใจที่อยากช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนในสังคม พร้อมทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าคำว่า “ยากจน” คือ “ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่เขาประสบอยู่ในทุก ๆ เรื่อง และเขาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง” เช่น ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัย ลูกหลานติดยาเสพติด เป็นหนี้นอกระบบ โดย “นายอำเภอ” ต้องเข้าใจงานและไปสร้างทีม ทำให้ทีมเข้าใจตรงกัน และกำหนดให้การแก้ปัญหาความยากจนเป็นวาระสำคัญของจังหวัด อำเภอ บูรณาการกลไก/เครือข่ายในพื้นที่ร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา ด้วยแนวทาง 2 มิติ คือ “มิติยาฝรั่ง” (ทำให้อยู่รอด) ไม่เดือดร้อน ทำให้มีบ้าน ได้เรียนหนังสือ มีปัญหาขอรับความช่วยเหลือได้ทันที โดยส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ และ “มิติยาไทย” (ทำให้ยั่งยืน) ด้วยการส่งเสริมทักษะ วิธีการ แนวทางในการแก้ปัญหา ตามแนวทาง “ผู้นำต้องทำก่อน” เพื่อให้ประชาชนเรียนรู้วิธีการพัฒนาตนเอง อาทิ การรณรงค์สวมใส่ผ้าไทย เพื่อช่างทอผ้ามีรายได้จุนเจือครอบครัว เลี้ยงดูลูกหลาน การปลูกผักสวนครัว สร้างความมั่นทางอาหาร เพื่อเป็นแหล่งอาหารประทังชีวิต เป็นแหล่งยาสมุนไพรรักษาโรค มีกิน มีใช้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง เป็นครูจิตอาสา และครูพาทำ ให้ผู้ยากไร้ คนด้อยโอกาสทางสังคมที่อยู่ในพื้นที่ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง รู้จักเก็บหอมรอมริบ เพื่อสามารถตั้งตัวได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเนื่องในวาระมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา ต้องทำให้พี่น้องคนไทยมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ ถวายเป็นพระราชกุศล ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 12 สิงหาคม 2565

ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญในเรื่องระเบียบของกระทรวงฯ ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้ อปท. ทั้ง 7,849 แห่ง จัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดยจัดทำป้ายที่ชัดเจน บริเวณริมรั้วที่ทำการ พร้อมหมายเลขติดต่อ รวมทั้งให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” อย่างน้อยอำเภอละ 1 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวก รวบรวมปัญหาความต้องการของประชาชน และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือ/แก้ไขปัญหา โดยบูรณาการทรัพยากร เช่น เงินทุนหมุนเวียนตามโครงการเศรษฐกิจชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบล มาแก้ปัญหา และผู้ว่าฯ ต้องรายงานผลการขับเคลื่อนให้กระทรวงต้นสังกัดของส่วนราชการนั้น ๆ พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้า ปัญหา อุปสรรค มายังกระทรวงมหาดไทยทุกเดือน เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป

จากนั้นในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้ชี้แจงแนวทางขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ โดยได้ การบันทึกข้อมูล ผ่านระบบ Thai Quarantine Monitor หรือ TQM ระบบสารสนเทศบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) และระบบ TPMAP Logbook นอกจากนั้นยังให้ตัวแทนจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เข้าร่วมจัดนิทรรศการ ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี, หนองบัวลำภู, ชัยภูมิ, นครพนม, ขอนแก่น ได้นำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงาน ในมิติด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านรายได้ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการศึกษา ด้านการเข้าถึงบริการรัฐ และด้านอื่นๆ ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานี นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้เป็นผู้นำเสนอผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในมิติด้านสุขภาพ ซึ่งมีความโดดเด่นในการขับเคลื่อนงานฯ ได้แก่ การยึดหลัก “บวร” หรือบ้าน วัด โรงเรียน ราชการ โดยได้รับความเมตตาจากพระพิพัฒน์วชิโรภาส และพระปัญญาวชิรโมลี ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน, การสร้างเมนูช่วยเหลือครัวเรือนยากจนให้คณะทำงานฯ ระดับอำเภอ เพื่อให้ทีมปฏิบัติการตำบลและทีมพี่เลี้ยง ได้ช่วยเหลือครัวเรือนเป้าหมายได้อย่างตรงตามปัญหาความต้องทันท่วงที โดยเฉพาะการใช้ปฏิบัติการ 4 ท (ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร ทางออก) ในการวิเคราะห์สภาพปัญหาต่อที่ประชุม เพื่อเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่างแนวทางการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความเข้าใจในการจัดทำฐานข้อมูล การบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ ให้เกิดการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจน อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรม และเกิดการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วประเทศในทุกมิติได้อย่างแท้จริง