วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เวลา 07.27 น. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นำคณะผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ณ พระบรมราชานุสาวรีย์หน้าพระราชวังสราญรมย์ กรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ ปีชวด ฉศก จุลศักราช 1166 ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2347 มีพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย และที่ 2 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด) และทรงเป็นพระราชนัดดา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สถาปนา พระบรมราชจักรีวงศ์และสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี

เมื่อพุทธศักราช 2367 ได้เสด็จออกผนวชเป็นเวลา 27 พรรษา ระหว่างทรงอยู่ในสมณเพศ ได้สนพระราชหฤทัยศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ทรงเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ปรากฏในพงศาวดารว่า ได้เป็นเปรียญ ในพุทธศักราช 2394 ได้ทรงลาผนวชเนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ และเสนาบดีผู้ใหญ่ ได้อัญเชิญให้เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันพุธ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1213 ตรงกับวันที่ 14 พฤษภาคม พุทธศักราช 2394 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามตามที่เฉลิมพระบรมนามาภิไธย จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธิสมมติเทพยพงษ์ วงษาดิศวร กระษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาษ บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยในการศึกษาวิชาการแขนงต่าง ๆ ทั้งด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และวิทยาการสมัยใหม่ของอารยชาติตะวันตก มาตั้งแต่ครั้งทรงผนวช ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ บาลี สันสกฤต คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการเมือง
ในต่างประเทศ ฯลฯ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงมีพระบรมราโชบายในการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย หลายด้าน ทรงเปิดประเทศให้สามารถมั่นคงดำรงเอกราชอยู่ได้ในภาวะที่อิทธิพลของจักรวรรดินิยม ตะวันตกเริ่มแผ่เข้าสู่ภูมิภาคตะวันออก ทรงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับ ราชสำนักและพระมหากษัตริย์ อาทิ ประเพณีสวมเสื้อเข้าเฝ้า ฯ การชักธงประจำพระองค์และธงชาติ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ชาวต่างประเทศปฏิบัติตามธรรมเนียมของชาติตนโดยยืนเฝ้า ฯ ได้ ในท้องพระโรง โปรดให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์และได้พระราชทานตอบแทนแก่ชาวต่างประเทศ นอกจากนี้ ทรงปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรให้เข้ากับกาลสมัย เช่น โปรดเกล้า ฯ ให้ราษฎรได้เฝ้าแหนใกล้ชิดและสามารถทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา โดยพระองค์เสด็จออกรับฎีกาทุกวันโกน รวมเดือนละ 4 ครั้ง ทรงริเริ่มประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงร่วมเสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และสาบานว่า จะซื่อสัตย์ต่อพสกนิกรของพระองค์แทนประเพณีเดิมที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาซึ่งพระมหากษัตริย์ประทับ เป็นประธาน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการถือน้ำกระทำสัตย์แต่ฝ่ายเดียว

ในด้านกฎหมาย ได้มีพระบรมราชโองการ หรือ ประกาศ กฎหมายต่าง ๆ ออกมา เป็นจำนวนมากเพื่อความผาสุก และให้ความเป็นธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์ อาทิ การลดภาษีอากร ลดหย่อนค่านา ยกเลิกการเก็บอากรตลาด เปลี่ยนเป็นเก็บภาษีโรงร้านเรือนแพจากผู้ค้าขายรายใหม่ ประกาศมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา ออกพระราชบัญญัติกำหนดใช้ค่าที่ดินให้ราษฎรเมื่อมีการเวนคืน ออกประกาศเตือนราษฎรให้รอบคอบในการทำนิติกรรม และที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ทรงออกกฎหมาย กำหนดลักษณะของผู้ที่จะถูกขายเป็นทาสให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกกฎหมายเดิมที่ให้ สิทธิบิดา มารดา และสามีในการขายบุตรและภรรยา และตราพระราชบัญญัติใหม่ให้การซื้อขายทาส เป็นไปด้วยความยินยอมของเจ้าตัวที่จะถูกขายเป็นทาสเท่านั้น
ในด้านการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ได้ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตก โดยยึดหลักการประนีประนอมด้วยวิถีทางการทูต ได้ทรงทำสัญญาทางไมตรีและการค้าในลักษณะใหม่ กับอังกฤษเป็นชาติแรก คือ สนธิสัญญาเบาริ่ง เมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๘ และกับชาติอื่น ๆ ในลักษณะ เดียวกันในเวลาต่อมา

ในด้านเศรษฐกิจการค้า ได้โปรดให้ยกเลิกระบบการค้าแบบผูกขาดของทางราชการไทย แต่เดิม และแบบบรรณาการกับจีน พระองค์ได้มีพระราชดำริปรับปรุงระบบเงินตราของไทยให้ได้ มาตรฐาน โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งโรงกษาปณ์ขึ้นเพื่อผลิตเหรียญเงินขนาดต่าง ๆ ใช้แทนเงินพดด้วง ประกาศพิกัดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเพื่อช่วยให้การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าได้คล่องและเป็นสากลขึ้น
ในด้านการทหาร ได้โปรดให้มีการจัดระเบียบทหารใหม่ และมีการฝึกทหาร ตามแบบอย่างตะวันตก ตลอดจนได้โปรดให้มีตำรวจนครบาลขึ้นเป็นครั้งแรก
ในด้านการพระศาสนา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำนุบำรุง และบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นอย่างมากทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ วัด ปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุ ทรงส่งสมณทูต ไปลังกา ทรงกวดขันความประพฤติของภิกษุ สามเณร ให้อยู่ในพระธรรมวินัย ตลอดจนได้ทรงนำพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องในการพระราชพิธีต่าง ๆ ซึ่งเดิมจัดตามพิธี พราหมณ์เพียงอย่างเดียว เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีโสกันต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้พระราชทานเสรีภาพทางศาสนาแก่ประชาชนและได้ พระราชทานที่ดินแก่ศาสนิกชนคริสเตียนเพื่อสร้างโบสถ์ อีกทั้งโปรดให้สร้างวัดถวายเป็นราชพลี แก่พระญวณนิกายมหายาน
ในด้านการศึกษาศิลปวิทยา ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน รวมทั้งทางด้าน ดาราศาสตร์ กล่าวได้ว่าเทียบเท่านักดาราศาสตร์สากล ทรงสามารถคำนวณสุริยุปราคาเต็มดวง ในพุทธศักราช ๒๔๑๑ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เป็นที่เลื่องลือในวงการดาราศาสตร์นานาชาติ ส่วนการศึกษาของอาณาประชาราษฎร์ พระองค์ได้ทรงพัฒนาการศึกษาทั้งของข้าราชสำนัก และประชาชนทั่วไป ทรงใส่พระทัยกวดขันคนไทยให้ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทรงสนับสนุนโรงเรียน ของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ภาษา อรรถคดี และวิทยาการของชาติตะวันตก โปรดให้จ้างครูสตรีชาวอังกฤษมาสอนภาษาอังกฤษแก่พระราชโอรส ธิดาและสตรีในราชสำนัก และยังได้ทรงพระกรุณาส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่จำเป็น สำหรับราชการไทย ณ ต่างประเทศ นอกจากนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งโรงพิมพ์หลวง ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพุทธศักราช 2401 เรียกว่า “โรงอักษรพิมพการ” ทำหน้าที่ผลิต ข่าวสารของทางราชการเพื่อเผยแพร่ให้ราษฎรได้ทราบทั่วถึงกัน โดยเริ่มพิมพ์หมายประกาศต่าง ๆ มีลักษณะอย่างหนังสือพิมพ์ข่าว ใช้ชื่อว่า “ราชกิจจานุเบกษา” ซึ่งยังคงมีอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน โดยหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบจัดพิมพ์ราชกิจจานุเบกษา คือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติเป็นเวลา 17 ปี 6 เดือน เสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 2411 พระชนมพรรษา 65 พรรษา